
Tuesday, October 28, 2008
Wednesday, October 8, 2008
*´¨`*:•♥ TEAR (X Japan) ♥:•*´¨`*
เพลงนี้นั้น ผมถือให้เป็นเพลงในดวงใจอันดับ 1 เลยครับ ทุกครั้งที่หมดกำลังใจ ทุกครั้งที่รู้สึกว่าชีวิตทำไมมันโหดร้ายแบบนี้ ทุกครั้งที่รู้สึกว่าตัวเองอยากจะได้พลังที่จะทำให้สู้ปัญหาในขณะนั้นให้ผ่านไปได้ ผมจะต้องเปิดเพลงนี้ฟังมันวนไปวนมาทุกครั้ง...เพลงนั้นก็คือ TEAR (X-Japan) ครับ
งานเพลงของเอ็กซ์นั้นผมเริ่มติดตามตั้งแต่ ม.2 ซึ่งแน่นอนครับ รวมเจ้าเพลงเรียกน้ำตาเพลงนี้ไปด้วย สมัยเด็กนั้นความหมายก็ยังไม่ค่อยรู้นักหรอกครับ รู้อยุ่เพียงแค่ หากลองหลับตาฟังเพลงนี้จนจบ น้ำตาจะต้องคลอออกมาทุกครั้งไป แต่ในความรู้สึกเดียวกันผมเองก็กลับรู้สึกว่าได้พลังและกำลังใจจากเพลงนี้ไปด้วย ดนตรีเนี่ยหากฟังดีๆมันมีความหมายมากกว่าดนตรีจริงๆนะครับ
ทุกวันนี้บทเพลง TEAR เพลงนี้ก็ยังคงเรียกน้ำตาผมได้อยุ่ทุกครั้งที่ได้ฟัง แต่ผมนั้นไม่ได้ฟังคนเดียวเหมือนเมื่อก่อนแล้วละครับ ยังมีคนคนนึงที่เค้าใช้บทเพลงเดียวกันนี้ แทนความรู้สึกทั้งหมดที่มี แทนกำลังใจที่ส่งให้มา แทนถึงความคิดถึงที่เรามีต่อกัน เพลงเพลงนี้มีความหมายอย่างมากกับตัวผม แต่วันนี้มันไม่ได้มีแค่ตัวผมคนเดียวอีกต่อไปแล้ว มันเป็นเพลงที่มีความหมายกับคนที่ผมรัก มีความหมายกับเรา ถึงแม้เราทั้งสองจะอยู่ห่างกันแสนไกลก็ตาม...
...ซับน้ำตาด้วยความรักของเรานะคะ...
ปล..1.ขอบคุณที่รักที่บอกให้พี่ช่วยแปลน้า ทามให้ได้ฝึกภาษาไปด้วย
2.ภาพยนตร์เกาหลีเรื่องWindstuct ได้ใช้เพลงนี้เป็น ซาวด์เเทร็คด้วยละ
TEAR
(X Japan)
どこに行けばいいあなたとはなれて
doko ni yukeba ii anata to hanarete
เมื่อเธอได้จากฉันไป ฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะเดินต่อไปทางไหน
今は過ぎ去ったとき問いかけて
ima wa sugisatta toki ni toikakete
ณ ช่วงเวลานี้ ฉันเองได้ตั้งคำถามถึงวันเวลาที่ผ่านพ้นไป
長すぎた夜に旅立ちを夢見た
naga sugita yoru ni tabidachi o yume mita
ในค่ำคืนที่แสนยาวนาน ฉันมองเห็นการออกเดินทางของตัวฉันในความฝัน
異国の空見つめてごどくを抱きしめた
ikoku no sora mitsumete kodoku o dakishimeta
เฝ้าจ้องมองท้องฟ้าที่แสนไกลโพ้น ด้วยอ้อมกอดที่แสนเดียวดาย
流れる涙を時の風に重ねて
nagareru namida o toki no kaze ni kasanete
น้ำตามันได้ไหลรินพร้อมไปกับสายลมแห่งกานเวลาที่พัดเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน
終わらないあなたの吐息を感じて
owaranai anata no toiki o kanjite
และมันก็ทำให้ฉันนั้นก็รู้สึกได้ถึงลมหายใจของเธออย่างไม่เสื่อมคลาย
DRY YOUR TEARS WITH LOVE
流れる涙を時の風に重ねて
nagareru namida o toki no kaze ni kasanete
น้ำตาที่มันได้ไหลรินพร้อมไปกับสายลมแห่งกานเวลาที่พัดเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน
終わらない悲しみを青いバラに買えて
owaranai kanashimi o aoi bara ni kaete
และ ความเศร้าใจตลอดกาลนั้นก็ได้ถูกเปลี่ยนเป็นดอกกุหลาบสีน้ำเงิน
流れる涙を時の風に重ねて
nagareru namida o toki no kaze ni kasanete
น้ำตามันได้ไหลรินพร้อมไปกับสายลมแห่งกานเวลาที่พัดเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน
終わらないあなたの吐息を感じて
owaranai anata no toiki o kanjite
และมันก็ทำให้ฉันนั้นก็รู้สึกได้ถึงลมหายใจของเธออย่างไม่เสื่อมคลาย
Thursday, July 3, 2008
Blu-ray VS HD DVD WAR (and my 0.8 bonus)!!
สงครามระหว่างformat นั้นจะว่าไปก็มีมาทุกยุคทุกสมัยตามเจเนอเรชั่นครับ หากเป็นสมัยคุณพ่อคุณแม่เรา ก็จะเป็นสงครามของVideo format : VHS and BETA เป็นสมัยที่ยังดูหนังด้วยม้วนตลับวีดีโอสี่เหลี่ยมๆนั่นละครับ รุ่นเราคงไม่รู้จักกันแล้วอะนะครับ มาถึงยุคปัจจุบันสงครามระหว่างformat ก็ได้เกิดขึ้นอีกครั้งครับ คราวนี้มาในรูปแบบของDVD format ซึ่งเป็นการแข่งขันระหว่างBlu-ray and HD DVD ครับ Blu-ray นั้น SONYเป็นผู้ค้นคว้าพัฒนา ส่วนHD DVD นั้นทางToshibaเป็นผู้ค้นคว้าและพัฒนาครับ
มาพูดถึงคุณสมบัติของเจ้าDisc ของ 2 format นี้กันนิดนึงนะครับ ทั้งBlu-ray and HD DVD นั้นต่างใช้ Blue lasers ในการอ่านแผ่นครับ(ปกติทุกวันนี้เราใช้ Red lasers ในการอ่านแผ่นดีวีดีทั่วไป สังเกตได้ง่ายๆจาก PS2 นะครับ) ความแตกต่างหลักๆของทั้งสองก้อคือDisc ของทางBlu-ray นั้นสามารถจุได้ 50 gb ส่วนทางHD DVD นั้นจุได้ 30 gb ครับ แต่ก็ไม่ได้ถือว่าทาง Toshiba จะเสียเปรียบแต่อย่างใดนะครับ เพราะทั้งสองความจุนี้ก็เรียกได้ว่า พอถมเถสำหรับใส่ข้อมูลภาพยนตร์ หรือ เกมส เพื่อให้เล่นภาพออกทางHDTV ได้อย่างเหลือเฟือครับ
จุดเริ่มต้นของสงครามนั้นอยู่ที่ปี 2005 ครับ เป็นปีแรกที่ Toshiba นำ เครื่องเล่น HD DVD ออกสู่ตลาด ในการพัฒนาและค้นคว้า เกี่ยวกับ HD DVD นั้น ทาง Toshiba ได้เปรียบคู่แข่งอย่าง SONY มากมายครับ เนื่องจาก HD DVD นั้นใช้เทคโนโลยีเดียวกันกับ VHS Video format ที่เคยได้รับชัยชนะเหนือ BETA ของ SONY มาแล้วในอดีต (นี่อาจจะเป็นแรงผลักดันอันนึงที่ทำให้ SONY ตั้งใจอย่างมากกับ Blu-ray เพราะคงไม่มีใครอยากเป็นผู้แพ้รอบสองหรอก จิงมั้ยฮะ) เพราะสาเหตุที่ใช้เทคโนโลยีคล้ายคลึงกับสิ่งที่เคยผลิตอยู่แล้วนั้น ทำให้ Toshiba ไม่ต้องลงทุนอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเริ่มต้นผลิต เพราะสามารถใช้ไลน์การผลิตเดิมที่เคยผลิต VHS ได้เลย จากเหตุผลนี้ ทำให้ HD DVD สามารถออกมาสู่ตลาดได้ก่อน Blu-ray และสามารถขายในราคาที่ไม่แพงด้วยครับ ส่วนทาง SONY นั้น เริ่มต้นด้วยความลำบากครับ โรงงานและไลน์การผลิตนั้นจำเป็นต้องสร้างขึ้นมาใหม่ทั้งหมด และด้วยเหตุนี้ ตอนวางตลาดของ Blu-ray นั้น ราคาไม่มีทางถูกกว่า HD DVD อย่างแน่นอน มีคำพูดนึงของ Jodi Sally (Vice prsident of USA Toshiba) ได้พูดไว้อย่างชัดเจน เกี่ยวกับความได้เปรียบของ Toshiba ที่จะสามารถมีชัยชนะในสงครามครั้งนี้ว่า " Unlike Blu-ray disc, HD DVD can be manufactured with similar equipment in the same plant " ....ถึงจุดนี้ ผมว่าอนาคต Blu-ray มืดมนมากเลยครับ เห็นเบบนี้แล้ว อยากจะถอดใจแทนด้วยซ้ำ ความเป็นไปได้ที่จะชนะในสงครามนี้ แทบจะไม่ถึง 10% ด้วยซ้ำ ....เนอะ แล้วยังงี้ SONY กลับมามีบทบาทจนเป็นผู้ชนะได้ไงเนี่ย งั้นเรามาต่อกันเลยครับ
SONY ส่ง Blu-ray ลงสู่ตลาดตามมาอย่างไม่ล่าช้ามากมายนัก ตรงจุดนี้สงครามระหว่างบริษัทยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นเป็นไปย่างเข้มข้นครับ ต่างฝ่ายต่างยกยุทธวิธีทางการตลาดออกมาฟาดฟันกันน่าดู ทาง Toshiba ส่งสโลแกนเก๋ๆออกมากระตุ้นลูกค้าด้วยประโยคที่ว่า " You want it, and we are here now" ( พวกคุณต้องการกันใช่ม้าย พวกเราก็อยู่นี่แล้วงาย มามะมาซื้อไปเร้วว 555) ไม่น้อยหน้าครับ ทาง SONY แม้จะมาทีหลังแต่ก็ส่งประโยคบาดใจมาประชันเหมือนกันว่า "We wont be first,but we better" ( เราจะไม่ป็นอันดับหนึ่ง หรือคนที่มาก่อนหรอกนะ แต่เราแค่เหนือกว่าทุกด้านเท่านั้นเอง โว้วว ใครคิดครับเนี่ย อยากรู้จักเป็นบ้าเลย 555) แล้วสงครามนี้ก็ดำเนินต่อมาอย่างเรื่อยๆ จนมาถึงจุดพลิกผัน เมื่อปลายปีที่แล้วครับ (4rd quarter of 2007)
และแล้วก็มาถึงจุด climax ของสงคราม DVD format นี้ครับ นั่นก็คือ สุดท้ายเจ้า Warner ได้ออกมาประกาศตูมแบบช้อคชาว Toshiba ทั้งหลายในเดือน Jan 08 ว่า จะเป็นผู้สนับสนุนหลักของ Blu-ray ครับ เนื่องด้วยเหตุผลที่ว่า ปีที่แล้วยอดขายของ Blu-ray นั้นชนะ HD DVD ขาด และไม่เพียงเท่านั้น ยอดขายของ PS3 ก็พุ่งพรวดพราดๆ นั่นก็หมายถึง ความต้องการของตลาด Blu-ray ก็เพิ่มตามไปด้วย ขณะทางฝั่ง HD DVD นั้นทุกอย่างยังคงเดิม (งะ ก็ Toshiba ไม่มีเกมคอนโซลอย่าง PS3 นี่นา จะว่าไปก็น่าสงสารบริษัทตัวเองเหมือนกานนะนี่ ToT) ยังไม่พอ เคราะห์ซ้ำกรรมซัด ในช่วงเวลาไม่ห่างกัน Microsoft ก็ประกาศตัวเข้าสังกัด Blu-ray ไปอีกหนึ่งราย ด้วยเหตุผลของคุณลุง Bil gate ที่ว่า "Blu-ray นั้นมีระบบ security ที่ดีกว่าทาง HD DVD " (โหย อย่ามาอ้างเลยลุง จะตามกานไปอะเด่ ไอ้เรื่องก้อปปี้เนี่ย มามะ เอาแผ่นไปทิ้งไว้ที่สะพานเหล็กสักวีกสองวีกเท่านั้นละ ลุงจะรู้ว่า คนไทยทามด้ายยย ฮ่าๆ พูมจายยนะนี่ ) นั่นละครับ จุดจบของสงครามนี้ก็มาถึง ในเดือน Feb 08 ผู้บริหาร Toshiba ที่โตเกี่ยวได้ออกมาประกาศอย่างเป็นทางการว่า จะทยอยลดการผลิต HD DVD ออกสู่ตลาด และ เมื่อเร็วๆนี้ ข่าวก็ได้ออกมาว่า Toshiba ได้ทำการปิดโรงงาน HD DVD ไปเป็นอันที่เรียบร้อย ถึงตรงนี้ เศร้าจังเลยครับ เพราะความประมาท และ มั่นใจในตัวเองมากจนเกินไปแท้ๆ .... บางครั้งคนเราเห็นชัยชนะอยู่ตรงหน้า แต่มันก็ไม่จำเป็นว่าเราจะเป็นคนคว้ามันได้เสมอไปนะเนี่ย
และจากสงครามครั้งนี้ ความสูญเสียทั้งหมดที่ทาง Toshiba เสียไปนั้น เป็นจำนวนเงิน โค ตะ ระ มหาศาลเลยครับ ไม่ว่าจะเป็น ค่าการตลาด ค่าการผลิต ค้นคว้า วิจัย การลงทุนครั้งใหญ่เมื่อปลายปีที่แล้ว สินค้าค้างสต้อกที่ขายไม่ออก รวมแล้ว ร่วม $ 1,000 milion ครับ!!! โอ้วว แม่จ้าวว นั่นละครับ มานก็โยงมาถึงพนักงาน Toshiba ทุกท่านในทุกประเทศ และ โบนัสกลางเดือน 0.8 ของผม ฮ่าๆ กระทบกานเป็นทิวแถบครับ แต่พอรู้แบบนี้ก็ทำให้เข้าใจมากขึ้นอะนะครับว่า ถ้าหากเราเป็น เอนจิเนียที่ทำอยู่บริสัท HD DVD ละ คงไม่ต้องมานั่งบ่นว่าโบนัสน้อยแบบนี้หรอก เพราะคงจะไม่มีโอกาสที่จะได้รับเงินเดือนด้วยซ้ำอะน้า เฮ้ออออ
R.I.P
Sunday, June 15, 2008
Jp: Fukuoka dome & Onzen

สำหรับวีกเอนนี้ ก็มี event พิเศษครับ นั่นก็คือ เมื่อวานผมได้มีโอกาสไป Fukuoka dome เพื่อไปดูการแข่งขัน Baseball league ของญี่ปุ่นคับ และ เป็นครั้งแรกของผมที่มีประสบการอาบน้ำในออนเซ็น(บ่อน้ำพุร้อน)ด้วยครับ
เริ่มต้นด้วยเบสบอลนะคับ ที่ผมจะไปดูนั้น เป็นแมทช์ของ Softbank Hawks VS Yokohama Star คับ เวลาเริ่มแข่งนั้นเป็นเวลา 6โมงเย็น แต่เวลานัดหมายที่ Komeyaคุง จะมารับผมนั้นคือ 9โมงเช้า!!! (สงสัยจะรีบไปช่วยเขาเปิดโดม -_-") จากคิวชูไปยังฟูกูโอกะโดยใช้รถนั้น ใช้เวลาร่วม ชม ครึ่งครับ โดย Komeyaคุง ได้เอารถไปจอดไว้ที่บ้านคุณ Tanaka จากนั้นเราก็เปลี่ยนมานั่งรถของ คุณ Tanaka กันแล้วก็มุ่งสู่ Fukuoka dome สำหรับทริปนี้ก็มีด้วยกันสี่คนครับ ผม Komeyaคุง คุณ Tanaka และ ลูกชายคุณ Tanaka ครับ
สำหรับกีฬาเบสบอลนั้น แน่นอนว่าที่ไทย ไม่มีความโด่งดังเลยแม้แต่น้อย แต่ต้องขอบคุณ SONY นะครับ ที่สร้างเครื่อง Playstation มาให้ผมได้เคยสัมผัสและพอรู้กฏกติกาเกี่ยวกับเบสบอล โดยผ่านทางเกมสคับ
ไปถึงที่โดมราวๆเที่ยงคับ คงมีคำถามสินะครับว่า หลือเวลาอีกตั้ง หกชม จะทำอะไรใช่มั้ยครับ ฮ่าๆ คำตอบก็คือ ต่อคิวซื้อบัตรครับ!!! สำหรับพวกเรานั้นได้จองบัตรผ่านอินเตอรเนตไว้แล้วครับ รอเพียงเอาต้นขั้วที่ปรินทออกมาก่อนหน้านี้ มาแลกเป็นบัตรจริงครับ ราคาบัตรนั้นก้อมีตั้งแต่ 1,500 - 10,000 Yen ครับ สำหรับที่นั่งของพวกเรา ราคา 5,500 Yenครับ แต่เนื่องจากคุณ Tanaka นั้นเป็น fan club จึงสามารถจ่ายได้ในราคาที่ถูกลง แต่ยังไงก็ตามคุณ Tanaka ไม่ยอมให้ผมจ่ายเลยครับ ก็เป็นอันว่าได้ดูฟรีไปงานนี้ แหะๆ)
เคาทเตอรบัตรนั้นเปิดบ่ายสามโมงคับ นั่นแปลว่า เราต้องต่อคิวรอ อย่างน้อยๆ 3 ชม ครับผม ตอนที่เราไปถึงนั้นมีคนต่อคิวรออยู่บ้างแล้วไม่มากเท่าไรครับ แล้วเราก็สลับกันไปทานข้าวเป็นรอบๆ แล้วผลัดกันมานั่งรอ(ยังกะวิ่งผลัด หุหุ) พอเวลาล่วงไปถึงประมาณบ่ายสองกว่าๆ ไม่น่าเชื่อครับ คนมาจากไหนไม่รู้ มากันเรื่อยๆๆ ต่อคิวกันยาวเหยียด คิวนั้นยาวมากๆๆๆครับ Fukuoka dome นั้นจุคนได้ 40,000 คน แล้วมี 8 ประตู ทุกประตูมีคนต่อคิว ซิ้อและแลกบัตรยาวมากกกก เบสบอลนี่เป็นกีฬาสุดฮิตของคนที่นี่จิงๆคับ แล้วก็เข้าใจแล้วละครับว่า ทำไมพวกเราต้องมากันเร็วขนาดนั้น
หลังจากได้ตั๋วก็เข้าไปในโดมกันทันที ในโดมนั้นมีร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหารต่างๆมากมายครับ บรรยากาศในสนามนั้น ก็มีนักกีฬามาฝึกซ้อมก่อนแข่ง มีการสัมภาษณ และก็เชียรลีดเดอร ครับ สำหรับบรรยากาศระหว่างแข่งขัน นั้นสนุกมั่กๆครับ มีการเล่นเวฟ ร้องเพลงเชียร์ ตามความเห็นผมแล้ว บรรยากาศของคนเชียรนี่ละครับ ที่ทำให้เบสบอลมันดูสนุก จบเกมสด้วยชัยชนะของ Hawks ครับ ด้วยสกอร์ 3-1 ครับ
จบจากเบสบอลราวๆ สามทุ่มครับ แล้วเราก็ไปอาบน้ำที่ออนเซ็นกันก่อนกลับครับ มาตรฐานออนเซ็นที่ถูกต้องคือ น้ำต้องอุณหภูมิ 40 °C ไม่ขาดไม่เกิน(ร้อนได้ใจมากขอบอก...) และ ทุกคนต้องเดินแก้ผ้าโทงๆ แช่น้ำร่วมกันโดยไม่มียางอาย (ฮ่าๆ อันนี้แต่งเอง แต่มานก็เป็นเรื่องจิงอะนะครับ) หลังจากแช่เสดแล้วรู้สึกได้ว่าเหมือนหมูต้มเลยครับ ตัวงี้แด้งแดงไปทั้งตัว แต่ก็รู้สึกดีนะครับ รู้สึกหายเมื่อยและโล่งสบายดีแท้ แต่ก็มีเรื่องแปลกใจเรื่องนึง เกี่ยวกับ แม่บ้านคนที่คอยเข้ามาดูแลเรื่องผ้าเช็ดตัว จัดนู่นจัดนี่ในห้องออนเซนของผู้ชายนั้น ทำไมถึงเป็นผู้หญิงนะ แล้ววัยก็ไม่ใช่ป้าๆด้วย เจ้เกดูสาวมาเลยเชียว ตอนแรกก็งงๆบวกอายๆด้วย แต่พอเจ้แกพูดเท่านั้นละ ฮ่าๆๆ เกทเลยครับ นี่คงเป็นงานในฝันของคุณเทอเลยใช่ม้ายฮ้า 555
Saturday, June 7, 2008
10 promise with my dog
เมื่อวานไปถามที่ซึทาย่ามา ก็ได้คำตอบว่าหนังเรื่องนี้เพิ่งเข้าโรง ยังไม่มีกำหนดออกเป็นดีวีดีครับ ดังนั้นก็คงต้องรอกันต่อปายย หน้านี้เลยขอหยิบยก theme หลักของหนังเรื่องนี้มาแปลดูครับ นั่นคือสัญญาสิบข้อที่น้องหมาอยากจะขอจากพวกเราครับ
犬と私の10の約束
สัญญาสิบข้อระหว่างของฉันกับน้องหมา
1.私と気長につきあってください。
ช่วยปฏิบัติตัวกับผมอย่างใจเย็นนะฮับ
2.私を信じてください。それだけで私は幸せです。
ขอให้เชื่อใจผม เพียงเท่านั้นผมก็แฮปปี้แล้วฮับ
3.私にも心があることを忘れないでください。
ถึงแม้ผมจะเป็นน้องหมา แต่ห้ามลืมนะ ว่าผมก็มีหัวใจนะฮับ
4.言うことを聞かないときは、理由があります。
หากเรียกผมแล้วผมไม่ได้ยิน นั่นเป็นเพราะผมมีเหตุผลของผมฮับ
5.私にたくさん話しかけてください。
人の言葉は話せないけど、わかっています。
ช่วยเรียก และ พูดกับผมบ่อยๆนะฮับ ถึงแม้ผมจะพูดภาษามนุษย์ไม่ได้ แต่ผมก็เข้าใจฮับ
6.私をたたかないで。本気になったら
私のほうが強いことを忘れないでください。
ห้ามทุบตีผมนะครับ อย่าลืมว่าหากผมซีเรียสขึ้นมา ผมมีแรงต่อสู้เยอะนะฮับ
7.私が年を取っても、仲良くしてください。
ช่วยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผม ตลอดปีที่เลี้ยงผมนะฮับ
8.あなたには学校もあるし友達もいます。
でも、私にはあなたしかいません。
ตัวคุณเองมีกิจกรรมที่โรงเรียน และ มีทั้งเพื่อนๆมากมาย แต่รู้ไว้นะฮับว่า ผมนั้นมีแต่คุณคนเดียวนะฮับ
9.私は10年くらいしか生きられません。
だから、できるだけ私と一緒にいてください。
ตัวผมเองมีอายุอยู่แค่ 10 ปีเท่านั้น ดังนั้นช่วยอยู่กับผมให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้นะฮับ
10.私が死ぬとき、お願いです。そばにいてください。
そして、どうか覚えていてください。
私がずっとあなたを愛していたことを。
ตอนผมตาย มีเรื่องขอร้องฮับ นั่นคือช่วยอยู่ข้างๆผมด้วยนะ แล้วช่วยเก็บผมไว้ในความทรงจำด้วยนะฮับว่า ที่ผ่านมาและจากนี้ไป ผมนั้นรักเพียงแต่คุณนะฮับ
............................................................
เฮ้อ พิมข้อสุดท้ายแล้วสะเทือนใจจังครับ คิดถึงเบอรดี้ (น้องหมาลอร์ทไวเลอร) เค้าได้เสียไปเมื่อปีที่แล้วนี่เอง ผมเองก็ไม่ได้มีโอกาสอยู่ข้างๆเค้าตอนเค้าเสียด้วยสิ แต่ก็มีปะป๋าที่อยู่กับเค้า คิดว่าเค้าคงจะมีความสุขมากๆแล้วละครับ .... ToT
Monday, June 2, 2008
Jp: My nintendo DS
16,800 Yen(5000THB)only to be owner this portable game. My DS is white color. Sometime I saw in internet ,there are many people like to compare between Nintendo DS and PSP (Playstation portable). But I think the advantage point of DS is the software. A lot of kind of software which we can play and use with DS : Games, Education, Travel map, Dictionary etc. Moreover DS has a ability which can play internet via Wi-Fi spot ...Oh!! how nice it is!! For DS'software price is around 4,000 Yen/pcs (1,000 THB) but I want to say "Thank you very much" to someone who created R4 card which made Nintendo DS can download free software from internet that means I don't need to buy all of original software..just one click from internet ^o* Actually R4 card is illegal. In Japan we can buy it in Akihabara only. No matter what I got it already and So really really enjoy with it !!
Saturday, May 31, 2008
Friday, May 30, 2008
Jp:Tokyu Disney Land

24/02/08 Tokyu Disney land
เข้ามาสู่ไฮไลทของวีกนี้กานดีกว่า สังเกตว่าจะมีไฮไลททุกอาทิตย์เลย ไม่ใช่เพราะเอาแต่เที่ยวนา ปั่นงานเสร็จตั้งแต่วันเสารแล้วละครับ ไหนๆอยู่ที่นี่ทั้งที ขลุกแต่ในหอจะมีประโยชน์อารายย สถานที่ในวีกนี้ ผมว่า เป็นความฝันของใครหลายๆคนเลยละ ว่าจะต้องมาที่แห่งนี้ (อาจจะเป็นช่วงวัยเด็กอะน้า) นั่นคือ Disney land คับ ในโลกเรามีแค่ไม่กี่ประเทศหรอกนะครับ ไม่น่าจะเกิน 7 ประเทศนา เอาที่ผมรู้ก้อมี ญี่ปุ่น อเมริกา ฮ่องกง ฟรานซ์ ละก้ออีกสัก หนึ่งหรือสองที่ม้างเนาะ สำหรับทริปนี้นั้น ไปกับเพื่อนๆและน้องๆในสังกัดโตชิบาหมดเลยครับ เป็นเด็กไทยและประเทศต่างๆของโตชิบาที่มาทำงานที่นี่ครับ โดยเพื่อนที่ผมนั้นก้อคิอ เจ้กิ้บ คับ (มาสัมพาษณที่โยโกฮาม่าด้วยกัน ตอนสองปีที่แล้ว จิงๆอายุเท่ากาน แต่เรียกเจ้บ่อย จนติดไปแล้ว ฮ่าๆ) โดยนัดกันที่สถานีรถไฟโตเกียวตอน 7.00 am ครับ (ครับ ดูไม่ผิดหรอกครับ เจ็ดโมงเช้า โอยยย เช้ามากก) ที่ร้าน Uniquo (เปนร้านขายเสื้อม้างฮะ เจ้แกบอกว่าทุกคนแถวนั้นรู้จัก หาไม่เจอก้อถามได้) Disney land นั้นเปิด 8.00 am - 22.00 pm ครับ หากไปสายหน่อยจะเจอกับผู้คนซึ่งต่อคิวเข้ากานอย่างล้นทะลัก นั่นเป็นสาเหตุที่ต้องไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ
นัดเจอเจ้กิ้บไว้ตอน เจ็ดโมงครับ ดังนั้นผมก้อต้องเบิ่งตาอันจิ๋วหริวคู่นี้ตั้งแต่ราวๆ ตีห้าครึ่งครับ (นี่ตรูต้องทรมานเพื่อดิสนีย ขนาดนี้เลยรึนี่) อาบน้ำ แต่งตัว เสดเรียบร้อย ก้อออกไปขึ้นรถไฟที่หน้าหอ เวลา หกโมงเช้าครับ โดยต้องไปลงที่สถานี Shin sugita แล้วต่อยาวไปโตเกียวอีกทีครับ ระหว่างเดินทางก็ฟังเพลงไปเรื่อยๆครับ แสงแดดยามเช้าสีเหลืองๆส้มๆ ส่องเข้ามาอืมม คลาสสิกดีจังเลยย... มาถึงสถานีโตเกียว เวลา 7.15 am "แต่กิ้บแกรู้มั้ย กว่าจะหาร้านของแกเจอน่ะ ต้องถามคนแถวนั้นตั้งสองหนเชียวนะ ไหนบอกว่าเด่นไงเจ้" ก้อมาเจอเจ้แก กับน้องส้ม รออยู่แล้วหน้าร้านครับ ขอโทดขอโพยเล็กน้อย เนื่องจากมาสายครับ จากนั้นก้ออกเดินทางไปที่ Tokyu Disney land ซึ่งอยู่ในเมืองชิบะครับ โดยจะมีอีกกลุ่มนึงรออยู่ที่นั่นครับ ใช้เวลาเดินทางจากโตเกียว ราว สิบนาทีก้อถึงที่หมายครับ ออกจากสถานีมาที่ทางเชื่อมเข้าสู่ Tokyu Disney land จากนั้นก้อรวบรวมสมาชิกกันเป็นที่เรียบร้อย โดยมีรายนามดังนี้ เจ้กิ้บ น้องส้ม น้องวิทย์ (สองคนนี้เป็นเด็กไทยรุ่นที่สองครับ) มิเชล เรน่า เพื่อนชายของเรน่าลืมชื่อไปแล้ว ฮ่า (พวกนี้เป็นชาวฟิลิปปินส เด็กโตชิบาเหมือนกันครับ) รวมทั้งสิน 7 คนครับ ....เอ้า ต่อไปก้อลุยดิสนี่ยแลนดกานเลยย
เรื่มแรกที่เข้าไป ก้อจะเห็นปราสาทที่เป็นสัญลักษณ์ของดิสนีย์ เด่นมาแต่ไกลเลยครับ โดยที่นี่ก้อแบ่งเป็นแอเรีย เหมือนสวนสนุกทั่วๆไป โดยมีเป็น 6 แอเรียด้วยกัน World bazaa , Tomorrow land, Fantasy land, Clitter country, Western land and Adventure land โดยรายละเอียดก้อดังต่อไปนี้ฮับ
World Bazaa: เป็นแอเรียที่มีร้านต่างๆมากมายไว้ขายของที่ระลึกครับ
Tomorrow land: เป็นแอเรียที่รวมเครื่องเล่นถูกใจวัยจ้าบครับ โดยมี Movie 4D , Astro blaster (นั่งยาน ยิงเลเซอรใส่กาน มันสมากก) และ พวกเครื่องเล่นหวาดเสียวครับ สำหรับเครื่องเล่นหวาดเสียวมีไม่มากครับ ไอ้พวกรถไฟเหาะตีลังกาสูงๆนั้นไม่มีเลย อาจเป็นเพราะที่นี่สร้างมาเพื่อเด็กๆก้อเป็นได้ (โอย วัยรุ่นเซงเลย อิอิ) ที่พวกเราต่อคิวเล่นกันก้อ Space mt. ซึ่งต้องต่อคิวราวๆครึ่งชม (ทุกอย่างที่นี่ต้องต่อคิวหมดครับ นี่ขนาดมาเช้าละนะ) ซึ่งเจ้าสเปซเมาทเท่นนี้ มันจะเป็นรถไฟเหาะซึ่งอยู่ในโดมที่มืดมิด วิ่งด้วยความเรวสูงพาเราชมหมู่ดาว ดาวตก ยอมรับว่าทำได้สวยและเนียนมากๆครับ ทั้งเสียว ทั้งสวยตระการตา ครับผม
Fantasy land: ที่นี่เป็นศูนย์รวมตัวการตูนที่แสนน่ารักของดิสนีย์ครับ ไม่ว่าจากเรื่อง มิกกี้เมาส โดนัลด หมีพูห์ และอื่นๆ อีกมากมาย
Clitter country, Western land: ทีนี่นั้นจะได้รับการตกแต่งแบบตะวันออก พวกอินเดียแดง คาวบอย ทำนองนี้ครับ และมีพวกเครื่องเล่นล่องแก่ง ขึ้นไปวนบนเขาสูงๆแล้วดิ่งลงมา เรียกความเสียวได้พอสมควรครับ
Adventure land : สุดท้ายครับ ที่นี่นั้นจะเป็นแบบ ป่าแอฟริกาครับ โดยที่นี่จะมีเรือลำหย่ายๆพาเราล่องแม่น้ำ นั่งชมบรรดาสัตว์ต่างๆ(ของเทียม)ที่อยู่รายล้อมข้างทางครับ มีไกด์ด้วยน้า แต่เป็นภาษายี่ปุ่น ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่แค่ดูท่าทางเวลาเค้าเจอสัตว์น่ากลัวๆ ก้อฮาแล้วละครับ
อากาศวันนี้นั้น ขอบอกว่าหนาววว มากๆครับ แค่อากาศปกติก้อ ราวๆห้าองศาเข้าไปแล้ว บวกกับวันนั้นมีลมมากเป็นพิเศษระดับที่พัดคนปลิวได้เลย พัดมาตลอดเวลาเลยครับ ยังดีนะครับตรงที่ท้องฟ้าแจ่มใสเอามากๆทีเดียวมาชดเชย ..... เวลาทั้งหมดที่อยู่ที่ดินแดนดิสนีย์แห่งนี้ก้อ 9.00 am - 8.00 pm โอ้วววว อยู่ที่นี่ สิบเอ็ด ชม เชียวรึเนี่ย ขอบอกว่าตอนกลางคืนไฟที่นี่สวยมากๆครับ มีการแสดงของตัวละครต่างๆ ดอกไม้ไฟ และ พาเหรด (วันนี้งดพาเหรดแหละครับ เพราะลมแรง เซงไปเลย) หลังจากนั้นผมก้อกลับถึง YKC เวลา ห้าทุ้มครับ (จิงๆคงถึงเร็วกว่านี้ถ้าไม่หลับเลยไปสามสถานี เพราะเหนื่อยมั่กๆ 555+) ก้อขอจบทริปนี้ดิสนีย์แลนด์เพียงเท่านี้นะครับ จริงๆมีอะไรอีกมากมาย ให้พิมคงบรรยายไม่หมดจิงๆครับ สนุกและ ชอบมากๆๆ สำหรับทริปนี้ ไม่เเน่วัน นึงบางที ผมอาจจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง กับเจ้าตัวน้อย เเละ ภรรยา ก้อได้นา อิอิ
Jp: Fuji san (ふじ山)
17/2/08 Fuji san & Gotemba departmentstore
วันนี้ไฮไลทของวีกนี้เลยครับ เรียกว่ารอมาตั้งแต่ต้นวีกเลยก็ได้ เพราะวันนี้ทาง YKC ได้จัดทริปไปเที่ยวภูเขาไฟฟูจิกันครับ โดยออกค่าใช้จ่ายให้กับทางศูนย์ฝึกอบรมเพียงแค่ 1000 เยน ต่อคน เท่านั้นเอง (ถูกแสนถูกครับ) เอาละมาเริ่มทริปกันเลยดีกว่า
Let's Gooo !!
7.30 am ทุกคนต่างพร้อมเพรียงกัน ที่หน้าล้อบบี้ครับ ทริปนี้จัดให้กับผู้เข้าอบรมทุกบ้านครับ รวมๆแล้วก้อประมาน 70 คนครับ รถบัสทั้งหมด สามคัน รอเราอยู่แล้วตรงหน้าศูนย์อบรม จากนั้นราว แปดโมงตรงก้อออกเดินทางสู่ภูเขาไฟฟูจิครับ ภูเขาไฟฟูจินั้นคนยี่ปุ่นเขาจะเรียกว่า ฟูจิซัง ครับ จากศูนย์ฝึกอบรมถึงฟูจิซังโดยรถบัสนั้น ใช้เวลา ราวๆ สาม ชมครับ กิจกรรมที่ฮอตฮิต ในรถนั้นก้อคงหนีไม่พ้นการถ่ายรูปครับ ส่วนผม แหะๆ เสียบวอลคแมน แล้วก้อหลับตั้งแต่วงล้อรถเริ่มหมุนแล้วละ -_-" จากการที่ตื่นมาเป็นช่วงๆนะครับ มองออกไปวิวข้างทางก็จะสามารถเห็นภูเขาไฟฟูจิ อย่างชัดเจนทีเดียว ยอมรับครับ สวยจริงๆเลยนะนี่
สถานที่ที่ทางศูนย์พามานั้น เป็นรีสอรตครับ ชื่อว่า Grinpa resort ตั้งอยู่เพียงแค่ทางขึ้นภูเขาไฟฟูจิเท่านั้น (อ้าวงี้ จะเรียกว่ามาภูเขาไฟฟูจิได้มั้ยเนี่ย แหะๆ) รีสอรตนี้เหมาะแก่การถ่ายรูปมากครับ เพราะไม่ว่าเราจะไปทำกิจกรรมอะไร ตรงไหน เราก้อจะได้ภูเขาไฟฟูจิเป็นฉากหลังตลอดเชียว ที่นี่มีกิจกรรมทางหิมะให้เล่นอย่างมากมายครับ สกี สเก็ตซน้ำแข็ง บอรดสไลด์ และ แอเรียเดียวกันนี้ก้อมี ชิงช้าสวรรคขนาดหย่าย ให้ดูวิวได้ทั่วๆอีกด้วยครับ จากโยโกฮาม่า เดินทางมาถึงที่ กรินป้ารีสอรตแห่งนี้ เวลา 11.00 am พอดีครับ พอก้าวลงมาจากรถ อื้มมมม สัมผัสได้ถึงความเยนยะเยือกเลยครับ ทุกพื้นที่ขาวโพลนไปด้วยหิมะครับ เวลาลมพัดมาเนี่ย แทบจะแปลงร่างเป็นไอติมได้เลยทีเดียวลา จากนั้นทุกคนก้อแยกย้ายเข้าไปใน กรินป้ารีสอรต เพื่อไปเล่นกิจกรรมที่ตัวเองอยากเล่นครับ (สกีวันนี้ปิดครับ ครับ ว้า น่าเสียดาย) ก้อเหลือ ผม พี่ไอซ พี่วี สามคนที่เดินอยู่ด้วยกันครับ อันดับเรกเลย มุ่งตรงไปที่ชิงช้าสวรรค์ยักษครับ เพื่อไปดูวิว และถ่ายรูปครับ จากนั้นก้อลงมาเดินเล่นถ่ายรูปเก็บบรรยากาศความเย็นยะเยือกไปเรื่อยๆครับ งานนี้รู้ซึ้งถึงความรู้สึกของปลาที่ถูกแช่ในช่องฟรีซเลย อิอิ ต่อจากนั้น เราก็พุ่งตรงไปเล่นกิจกรรมที่มีคนเล่นกันอย่างหนาแน่น นั่นคือ บอรดสไลดครับ (ขอเรียกว่ากระบะเหาะละกาน) เป็นกิจกรรมที่เราต้องนั่งบนกระบะ แล้วปล่อยตัวลงมาจากเนินหิมะครับ ก่อนอื่นต้องเช่าเจ้ากระบะเหาะนี่ก่อน ค่าเช่าก็ 600 เยนครับ เล่นได้แบบอันลิมิตครับผม (จริงๆแล้วหากสังเกตจะมีเจ้ากระบะเหาะนี่วางไว้อยู่เกลื่อนเหมือนกัน เพราะมันไม่มีที่เฉพาะให้คืนครับ ใครเล่นเบื่อแล้วก้อวางไว้แถวๆนั้นละ เดียวก็มีคนมาเก็บเอง แต่คนที่นี่เค้าก้อไม่โกงเก็บมาใช้นะครับ ทุกคนก้อเช่าอันใหม่หมด นี่ถ้าเป็นเมืองไทยอย่างหวังเลย คงมีการรีไซเคิลกันแน่นอน อย่างน้อยผมคนนึงละ จะโง่เสียตังคทามมาย แสดงว่านี่เปนสิ่งที่ยืนยันได้ว่าผมเป็นคนไทยครับ อิอิ แต่ยังไงก้อเสียตังคไปแล้วละ โอยน่าจะรู้ให้เรวกว่านี้ 555 ) ไอ้เจ้ากระบะเหาะนี่ คำเดียวเลยครับ มันสมากกกกกกกกกกกก เหาะลงมา วิ่งขึ้นไปใหม่ วนไปวนมาแบบไม่รู้เหนื่อยเลยครับ (มีจังหวะที่ล้ม เอามือเค้าครูดไถลไปกับหิมะ โอยเย็นมากกกก จนกระดิกนิ้วไม่ได้สักนิ้วเลยครับ ตกใจนึกว่ามือจะเป็นอะไรมากมั้ย แต่พออุ่นมันก้อกลับมากระดิกได้เหมือนเดิม เฮ้ออ เกือบมือกุดซะแล้นน) หลังจากนั้นเราก้อไปรอที่จุดนัดพบเวลา 13.00 น เพื่อไปหาไรหม่ำกันที่ Gotemba departmentstore ซึ่งเป็นห้างที่สร้างขึ้นในหุบเขาเลยครับ อยู่ไม่ไกลจาก กรินป้ารีสอรต มากนัก ลักษณะห้างก้อแบบ เจ เอเวนิว บ้านเราครับ แต่หย่ายกว่ามั่กๆ ที่นี่ก้อได้หม่ำอาหารกลางวันและเดินช้อปปิ้งกาน จนถึงบ่ายสามครับ แล้วก้อเดินทางกลับสู่ที่พักอย่างปลอดภัยราวๆ ห้าโมงเยนครับ
Jp: YKC life

11/2/08 - 15/2/08
สำหรับสัปดาห์นี้ ถือเป็นการเริ่มต้นการเรียนอย่างเต็มรูปแบบครับผม ในสัปดาห์นี้ ชีวิตผมเองก็ดำเนินไปอย่างเรื่อยๆครับ เช้าตื่นมา 6.59 am (ตั้งไว้แบบนี้จิงๆครับ เอาเคล็ดเล็กน้อย อิอิ) จากนั้นก็ลงไปหม่ำอาหารเช้าที่ห้องอาหารอยู่ชั้นสอง ใช้เวลาไม่นานหรอกครับ ราวๆ 8.00 am ผมก็กลับมาที่ห้องเพื่อมาพักหายใจ เตรียมตัวไปเรียน เวลา 9.00 am ครับ โดยการเรียนนั้น จะเริ่มตั้งแต่เรียนภาษา 9.00 - 12.00 am แล้วพักเที่ยง แล้วก็ต่อด้วยช่วงบ่าย 1.00 - 4.30 pm (ช่วงบ่ายจะเป็นเรียนภาษากับทัศนศึกษาในย่านใกล้สูนย์อบรม สลับๆกันไปครับ) ชีวิตผมในสัปดาห์นี้ มันก็วนๆในลูปนี้ละครับ ตกเย็นก็มีการบ้านเป็นตั้งๆ แต่ผมก็พยายามเจียดเวลาออกไปเดินเล่นข้างนอกบ่อยๆครับ เพื่อไม่ให้ชีวิตมันหน้าเบื่อจนเกินไป ที่ที่ไปบ่อยๆนั้นก็ห้าง จัสโก้ ครับ เดินไปหนึ่งสถานีรถไฟก็ถึงครับผม
ต่อไปจะเขียนถึงความเป็นอยู่ กับการศึกษาของที่นี่กันดีกว่าครับ เริ่มจากสถานที่เรียน สถาบัน AOTS ที่ Yokohama นั้นมีชื่อเรียกสั้นๆว่า YKC โดยมีสถานีรถไฟฟ้า Sango shingo อยู่ตรงหน้าพอดีเลยครับ(สะดวกมากมาย) ตัวตึกของสถาบันที่นี้นั้นจะแบ่งออกเป็นสองฝั่ง เป็นฝั่งตะวันออกและ ตะวันตกครับ โดยทั้งสองฝั่งนั้นจะเป็นส่วนของห้องพัก ห้องเรียนและห้องอาหารจะอยู่ในอาคารตรงกลางระหว่างหอพักทั้งสองฝั่งครับ รอบๆนั้น มีสนามฟุตบอล สองสนาม และ คอรดเทนนิสอีกสองคอรดครับ YKC นั้นอยู่แทบจะติดทะเลเลยละครับ ระยะทางที่ห่างจากทะเลก้อราวๆ 2 km ครับ ดังนั้นที่นี่จึงค่อนข้างมีลมเยอะเป็นพิเศษครับ
มาพูดถึงการเรียนบ้าง ผู้ที่มาศึกษาภาษายี่ปุ่นในรอบนี้มีประมาน 60 - 70 คนครับ ไทย อินเดีย ตุรกี เวียดนาม จีน มาเลย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส ส่วนใหญ่ เป็นจีนกับ เวียดนามครับ ส่วนไทยเรานั้น มีกัน 5 คนครับ ทั้งหมดนั้นจะถูกแบ่งออกเป็น 3 บ้าน บ้านละราวๆ 20 คน ครับ โดยมีบ้าน กริฟฟินดอร สไลทีริน เอ้ย ม่ายช่าย ล้อเล่น (อะจิงๆ ก้อแบ่งเปนสามกลุ่มครับ โดยกลุ่มเดียวกัน ก็จะถูกจัดให้มีห้องพักชั้นเดียวกันครับ ผมจะเรียกเป็นบ้านละกาน เหมือน รร ฮอกวอรต ดีครับ อิอิ) โดยขั้นตอนแรกก้ออย่างที่รู้ไปแล้วคือ สอบวัดระดับ โดยจะคัดมาบ้านละ 2-3 คน มาเรียนในท้อปคลาสครับ (F class) คนที่เหลือก็เรียนในคลาสอื่นลดหลั่นกันไป การเรียนของคลาสผม จะเรียนอัดมากครับ โดยทาร์เกทอยู่ที่ ได้ภาษายี่ปุ่นชั้นกลาง และ คันจิ เจ็ดร้อยตัว หนังสือเรียนนั้นคล้ายกับที่ผมเรียนที่ธรรมศาสตร์ครับ ที่ไทยเรียนสองคลาสต่อบท ที่นี่ คลาสละบทเลยครับ โอวว ไม่เพียงแค่นั้น มีสอบบทที่เรียนไปในวันรุ่งขึ้นทุกเช้า แล้วต่อด้วย สอบไฟนอลสิ่งที่เรียนมาในวีกนั้นทุกวีก (ไม่ได้มาสบายเลยนะครับเนี่ย) เรียกได้ว่าตอนเย็นวันไหนทบทวนไม่พอ ก้อจะส่งผลถึงผลสอบวันรุ่งขึ้นทันทีครับ เหนื่อยมั้ยล่า ยางครับยังไม่หมด นอกจากเรียนในห้องเรียนแล้ว ทุกคนต้องกลับมาทำการบ้านที่อาจาร์ยให้ (เยอะมั่กๆ) แล้ว ยังต้องเรียนด้วยตัวเองทางเนตด้วยครับ โดยเราต้องไปทำแบบฝึกหัดในนั้น แล้วคะแนนมันจะขึ้นโชวที่เมลอาจารย์ประจำคลาสครับ (โอยย สถาบันที่นี่เค้าคิดว่าวันนึงมี 34 ชมรึงาย) นอกจากคลาสเรียนภาษา ก้อจะมีคลาสทัศนศึกษา โดยจะมีการพาไปในสถานที่สำคัญต่อการใช้ชีวิตครับ เช่น ไปรษณีย์ สถานีดับเพลิง ธนาคาร เป็นต้น โดยรวมๆก้อมีการเรียนการสอนตามนี้ละครับ อ้อ สุดทายก่อนจบการเรียนที่นี่ แล้วไปฝึกงานต่อนั้น ต้องมีการทำโปรเจ็คครับ (ประมานทำเทซิส) ด้วยภาษายี่ปุ่นเพียวๆ ซึ่งแบ่งกลุ่มบ้านละสามคนครับ (โชคยังดีที่งานกลุ่ม ไม่งั้นละเหนื่อยหนักเลยครับ)
กลับมาที่เรื่องราวในสัปดาห์นี้กันดีกว่า ขอนินทา ไอ้อาบี เพื่อนชาวอินเดียหน่อยเหอะครับ อินเดียเป็นชาติที่ใช้ภาษาอังกริดได้เก่งมากนะครับ ศัพททุกคำ เทนสทุกเทนส มันรู้หมด เสียอย่างเดียวตรงที่ ..ผมฟังมันไม่รู้เรื่องครับ 555+ เจ้าอาบีนี่ เป็นคนอินเดียคนเดียวเลยครับในรุ่นนี้ เวลามันคุยกะผม ผมต้อง เอ่อ Again please , I'm sorry?, Slowly man! etc เป็นแบบนี้ซะส่วนใหญ่ แต่มันก้อน่ารักครับ พยายามอธิบายซ้ำโดยไม่เบื่อ ด้วยความเร็วในการพูดที่ เท่าเดิม -_-" อีกอย่างนึงครับ ในบทสนทนาอย่าได้มีคำไหนที่มีตัว R เชียว พี่แกซัด ร เรือ ควบมาตลอด โอ้ววว เหมาะเก่การให้มาสอนภาษาไทยอย่างยิ่ง มาถึงตอนนี้สนิทกับมันมาได้จะ สองวีกแล้ว ผมก้อยังฟังมันไม่ค่อยรู้เรื่องเหมือนเดิมครับ 555 อ้อ อีกอย่าง เดียวนี้มันมีการพัฒนาเอาภาษายี่ปุ่นที่ร่ำเรียนมาปนด้วย ฮ่าๆ(ตาย กรูตายย) หนักเลยคับทีนี้ พี่หลายคนก้อต่างถามว่า "น้องทันเก่งเนอะคุยกะมันได้เป็นเรื่องเป็นราวเชียว" เคล็ดลับมานไม่ยากหรอกน้า ถ้ามันเรื่มพูดอัดเทอรโบเมื่อไรปล่อยให้มานพูดไป ให้ตัวเราพยักหน้าเล็กน้อย ค่อยๆพูดเป็นจังหวะ ตอบรับกับการพูดของมาน ว่า "Hmm I see " "Yeah I see" เท่านั้นเอง เหอๆ
Jp: Akihabara/Tokyu tower

10/2/08 Akihabara Tokyu tower and Zujoji temple
สำหรับวันนี้ ยกให้หน้านึงเต็มๆเลยละกันครับ วันนี้เป็นวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันที่จะได้ว่างเต็มๆวันครับ ก้อตามแปลนครับ จะไปย่าน Akihabara ซึ่งอยู่ใน โตเกียว โดยแปลนไว้ตั้งแต่เมื่อวาน โดยจะมี พี่ไอซ พี่วี (คนไทย) และ อาบี (อินเดีย)ไปด้วยกัน ออกเดินทางกัน เก้าโมงเช้า ทุกคนก็ต่างพร้อมเพรียงกันหน้ารีซิฟชั่น โดยอาบี ได้ชวนเพื่อนกลุ่มเวียดนามมาจอยอีกกลุ่มใหญ่ (จะลากมาทามมายย เที่ยวกลุ่มหย่ายๆ มันไม่มันสหรอกนะ เอ้าไม่เปนไร ชวนมาแล้วนี่เนอะ) ก้อ ออกเดินทางนั่งรถไฟจากสถานีย่อยหน้าหอพัก แล้วไปลงที่ สถานี Shin sugita เพื่อเปลี่ยนรถไฟยิงยาวตรงไปผ่านตัวเมืองโตเกียว แล้วก็ถึง Akihabara ทั้งหมดนี้ใช้เวลาทั้งสิ้นราว 1 ชม ครับ แล้วก้อถึงซะที ที่ Akihabara นี้มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า Electric town ครับ นั่นเป็นเพราะว่า ทั้งย่านมีแต่ร้านขายพวกอุปกรณ์ไฟฟ้า เยอะแยะเต็มไปหมดเลยครับ กล้องถ่ายรูป เครื่องเล่นMP3 ทีวี โทรศัพท และอีกมากมายย สำหรับตัวผมเองไม่ได้มีจุดประสงค์จะมาซื้ออะไรที่นี่เลยครับ เพื่อนๆที่มาต่างมีกันหมด จะซื้อ ไอพอดบ้างละ กล้องบ้างละ แต่ผมแค่อยากมาให้รู้เท่านั้นลาว่า ที่นี่มานหน้าตาเป็นยังไง (แต่เค้าบอกกันว่า คนที่ไม่ได้คิดจะซื้ออะไรนี่ละ มักจะได้อะไรกลับมากกว่าชาวบ้านเขา อ้ะ จิงอะป่าวก้อต้องตามดูกัน)
Akihabara นั้นที่นี่มีขายทั้งเครื่องไฟฟ้ามือหนึ่งและมือสองครับ แต่สำหรับมือสองต้องรู้สถานที่ครับว่าอยู่ตรงไหน เพราะ ไม่ได้มีให้เห็นเยอะแยะ เหมือนร้านขายของมือหนึ่ง (โชคดีเตรียมพร้อม เปิดเนตถ่ายแผนที่จากหน้าจอโน้ตบุ้กมาเรียบร้อย เลยพอจะรู้ตำแหน่งครับ) พอมาถึงที่นี่กลุ่มใหญ่ๆที่มาด้วยกันก็เริ่มแตกออกโดยไม่ตั้งใจ คงเป็นเพราะจุดประสงค และความชอบที่จะดูของมันต่างกัน (ดีแล้วลา ห่วงหน้าพะวงหลัง เที่ยวไม่หนุกหรอก) ตอนนี้ผมเองก็มีพี่ไอส ติดสอยห้อยตามมาด้วยอีกหนึ่งครับ (ดูท่าทางพี่แกมั่นใจ เราพอสมควรนะเนี่ย "อยู่กะน้องทัน พี่ว่าดีที่สุดยังไงก้อรอด" เอ่อ จิงเหรอครับพี่ -_-") จากนั้นเราทั้งสองก้อพุ่งตรงไปหาดูพวกร้านขายของมือสองกันเลยครับ เพราะของมือหนึ่งนั้นมันราคาเท่าๆกันหมดทั้งประเทศละ ไว้ไปดูที่อื่นก็ได้ ละก้อถึงที่หมาย มีร้านใหญ่ๆที่ขายของมือสองอยู่ 3 ร้านครับติดๆกันด้วย ดีแล้วละจะได้ไม่ต้องเดินไกล ในร้านนั้นก็มีของมากมายครับ ไม่ว่าจะเป็นกล้อง เอมพีสาม โน้ตบุ้ก นาลิกา ล้วนแล้วแต่เป็นของมือสอง ซึ่งราคานั้นต้องขอบอกว่า ถูกและถูกมากๆจิงๆ ยกตัวอย่างนะครับ กล้อง Casio V7 ที่ผมมีครอบครองอยู่ตอนนี้ มือหนึ่งเมืองไทยตอนนี้ 12,500 baht ( ผมซื้อตอนออกใหม่ 14,500 baht ครับ) แต่ที่นี่ขายเพียง 15,000 yen ตกเป็นเงินไทยก็ 5,000 baht เท่านั้น!! โอ้วว ตรูจาเป็นลม สภาพดีมากครับ เอามาลองถ่าย ทุกอย่างก้อทำได้ดี อืมม ถ้าคนที่ไม่แคร์ว่าจะต้องใช้ของมือหนึ่งเท่านั้นละก็ Akihabara คือสวรรค์จริงๆครับ
ช่วงบ่าย ยังคงอยู่ที่ Electric town แห่งนี้ครับ หลังจากที่อิ่มอร่อยกับราเมงมาแล้ว เราทั้งสองก้อกลับไปที่ร้านมือสองอีกครั้ง เพราะพี่ไอส ตัดสินใจจะสอย i pod ครับ สำหรับเจ้าไอพอดนี้ผมเองไม่ค่อยรู้ราคาเท่าไรครับ (ม่ายค่อยชอบอะ รู้แหละว่าคุณภาพเยี่ยม แต่มานโหลอะครับ) แต่พี่ไอสเค้าทำหน้ายังกะได้ของฟรี ก้อคงเดาได้ละครับว่าถูกมากกก ก่อนออกจากร้านผมก็เหลือบไปเห็น สิ่งที่น่าดึงดูดใจ ประมานว่าจะเดินออกไปแล้วแต่ต้องเดินถอยหลังกลับมาดูเลยละ(เมื่อเช้ามองผ่านไปได้ไง) นั่นก็คือ เครื่องเล่น MP3 ของโซนี่ครับ ซึ่งผมจำได้ว่าปะป๋าเล็งๆเครื่องนี้ไว้อยู่ ตัวนี้ 4GB ราคาเมืองไทยตกอยู่ที่ 4,700 baht แต่มือสองที่นี่ คิดเป็นเงินไทยนั้นราวๆ 2 พันกว่าบาทเท่านั้น สภาพเครื่องดูดีมากๆครับ หลังจากสอบถามจากคนขาย เค้าบอกว่าตัวนี้คนขายต่อเพิ่งใช้ไปแค่สองเดือนเอง โอ้วววว ต้องซื้อเท่านั้นครับ เอาแค่ตัวเครื่องแล้วซื้อหูฟังใหม่ ก้อยังถูกกว่าเมืองไทยอีกโข ปล่อยไปไม่ได้แล้วละสอบถามกันเต็มที่เลยครับ จะควักเงินจ่ายแล้วด้วย แต่เจ้าคนขายก้อเอ่ยประโยคสะเทือนใจซึ่งจับใจความได้ว่า "Sembu sony no operation sistemmuwa nihongo dake desune" แปลว่า ระบบสั่งงานของเครื่องโซนี่ทั้งหมดเป็นภาษายี่ปุ่นเท่านั้น จบเลยครับ ซื้อฝากปะป๋าเค้าก้อคงใช้ไม่เป็นแหงๆ ถ้าซื้อใช้เองก็พอไหว แต่ผมเองก็มีเครืองเล่น MP3 อยู่แล้ว ก้อเลยต้องเดินจากมาด้วยความเสียดายอย่างสุดซึ้งครับ เห้ออ เหนม้า สุดท้ายผมเองก้อไม่ได้ซื้ออะไรเลย อันนี้ต้องเรียกว่า มีเงิน แต่ไม่มีวาสนาครับ ฮ่าๆ
พอเดินจนทั่วแล้วก้อเวลาประมาณ บ่ายโมงกว่าๆเท่านั้น ผมจึงมีความคิดที่จะไปโตเกียวครับ ไปทำไม แล้วออกจากสถานีรถไฟมาจะเจออะไร อันนี้ไม่รู้ครับ แต่ที่รู้คือ เวลาเหลือ และตรูจะไปคับ!! และก้อคงไม่ต้องถามถึงพี่ไอซ แกจอยอิน ด้วยแน่นอน ฝากชีวิตไว้ที่ตรูแล้วนี่ ฮ่าๆๆ จาก Akihabara มา Tokyu นั้น ก้อขึ้นรถไฟย้อนลงมาเพียงแค่สถานีเดียวเท่านั้น แล้วเราทั้งคู่ก้อโผล่ออกมาที่สถานีโตเกียวครับ (ใหญ่เปนบ้า เส้นทางรถไฟงี้พันกันให้มั่วเลย) ออกมาละครับ แต่ปัญหาคือ จะไปไหน -_-" ง่า........ โตเกียว.... โตเกียว... โตเกียว... ปิ้งง โตเกียวทาวเวอรไง ถามยามหน้าสถานีเลยครับ ไกลจากที่นี่เท่าไร หากนั่งเท้กซี่ต้องจ่ายเท่าไร ยามเองก้อไม่ค่อยมั่นใจ ให้เราไปถามแทกซี่อีกที อืมได้ๆ ก้อโบกเลยครับ แทกซี่เค้าก้อบอกว่าประมาน 1,700 Yen "อื้อ ไม่แพง อยู่ละแวกนี้ละ พี่ไอซ ขึ้นเลยๆ" Let's go to Tokyu tower !!
มาถึงแล้ว ใหญ่อลังการมากกกครับ และคนที่ต่อคิวขึ้นลิฟทไปดูวิวข้างบนก้อเยอะมากกกกกกกก ทำเอาเราต้องถ่ายรูปอยู่ข้างๆและเข้าไปในตัวตึกที่สร้างไว้เพื่อเป็นที่ขายของที่ระลึกซึ่งอยู่ที่ฐานเท่านั้น (น่าเสียดาย โอกาสหน้าจะมาให้เช้าตรู่เลยเชียว)
แต่แค่นี้ก้อถือว่าได้มาแล้วละ เจ๋งๆๆ จากนั้นเราก้อเดินรอบๆ ถ่ายรูปกะโตเกียวทาวเวอรไปเรื่อยเปื่อย และต่อจากนั้นเราก้อมุ่งหน้าเดินไปวัด Zojoji ซึ่งเป็นวัดใหญ่ ตั้งอยู่ติดกับโตเกียวทาวเวอรครับ แน่นอนเดินถ่ายรูปกันไปตลอดทางครับ และก้อไม่พลาดที่จะทำบุญและสักการะพระพุทธรูปที่นี่ด้วยครับ
สุดท้ายแล้ว หลังจากที่เราเดินอยู่แถวละแวกโตเกียวทาวเวอร จนถึงราวๆ บ่ายห้าโมงเยน เราก็ขึ้นรถไปที่สถานีแถวนั้นกลับ AOTS Yokohama ครับ พี่ไอซบอกว่า "คิดถูกแล้วที่มากะน้องทัน ได้เที่ยวอะไรแบบนี้ดีกว่าไปแต่ห้าง ช้อบปิ้งเยอะแยะ" คราวนี้โชคดีที่มันไม่หลงหรอกเพ่ อย่าเพิ่งวางใจ ทริปหน้ามาเสี่ยงกับผมใหม่ได้ครับ






