

24/02/08 Tokyu Disney land
เข้ามาสู่ไฮไลทของวีกนี้กานดีกว่า สังเกตว่าจะมีไฮไลททุกอาทิตย์เลย ไม่ใช่เพราะเอาแต่เที่ยวนา ปั่นงานเสร็จตั้งแต่วันเสารแล้วละครับ ไหนๆอยู่ที่นี่ทั้งที ขลุกแต่ในหอจะมีประโยชน์อารายย สถานที่ในวีกนี้ ผมว่า เป็นความฝันของใครหลายๆคนเลยละ ว่าจะต้องมาที่แห่งนี้ (อาจจะเป็นช่วงวัยเด็กอะน้า) นั่นคือ Disney land คับ ในโลกเรามีแค่ไม่กี่ประเทศหรอกนะครับ ไม่น่าจะเกิน 7 ประเทศนา เอาที่ผมรู้ก้อมี ญี่ปุ่น อเมริกา ฮ่องกง ฟรานซ์ ละก้ออีกสัก หนึ่งหรือสองที่ม้างเนาะ สำหรับทริปนี้นั้น ไปกับเพื่อนๆและน้องๆในสังกัดโตชิบาหมดเลยครับ เป็นเด็กไทยและประเทศต่างๆของโตชิบาที่มาทำงานที่นี่ครับ โดยเพื่อนที่ผมนั้นก้อคิอ เจ้กิ้บ คับ (มาสัมพาษณที่โยโกฮาม่าด้วยกัน ตอนสองปีที่แล้ว จิงๆอายุเท่ากาน แต่เรียกเจ้บ่อย จนติดไปแล้ว ฮ่าๆ) โดยนัดกันที่สถานีรถไฟโตเกียวตอน 7.00 am ครับ (ครับ ดูไม่ผิดหรอกครับ เจ็ดโมงเช้า โอยยย เช้ามากก) ที่ร้าน Uniquo (เปนร้านขายเสื้อม้างฮะ เจ้แกบอกว่าทุกคนแถวนั้นรู้จัก หาไม่เจอก้อถามได้) Disney land นั้นเปิด 8.00 am - 22.00 pm ครับ หากไปสายหน่อยจะเจอกับผู้คนซึ่งต่อคิวเข้ากานอย่างล้นทะลัก นั่นเป็นสาเหตุที่ต้องไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ
นัดเจอเจ้กิ้บไว้ตอน เจ็ดโมงครับ ดังนั้นผมก้อต้องเบิ่งตาอันจิ๋วหริวคู่นี้ตั้งแต่ราวๆ ตีห้าครึ่งครับ (นี่ตรูต้องทรมานเพื่อดิสนีย ขนาดนี้เลยรึนี่) อาบน้ำ แต่งตัว เสดเรียบร้อย ก้อออกไปขึ้นรถไฟที่หน้าหอ เวลา หกโมงเช้าครับ โดยต้องไปลงที่สถานี Shin sugita แล้วต่อยาวไปโตเกียวอีกทีครับ ระหว่างเดินทางก็ฟังเพลงไปเรื่อยๆครับ แสงแดดยามเช้าสีเหลืองๆส้มๆ ส่องเข้ามาอืมม คลาสสิกดีจังเลยย... มาถึงสถานีโตเกียว เวลา 7.15 am "แต่กิ้บแกรู้มั้ย กว่าจะหาร้านของแกเจอน่ะ ต้องถามคนแถวนั้นตั้งสองหนเชียวนะ ไหนบอกว่าเด่นไงเจ้" ก้อมาเจอเจ้แก กับน้องส้ม รออยู่แล้วหน้าร้านครับ ขอโทดขอโพยเล็กน้อย เนื่องจากมาสายครับ จากนั้นก้ออกเดินทางไปที่ Tokyu Disney land ซึ่งอยู่ในเมืองชิบะครับ โดยจะมีอีกกลุ่มนึงรออยู่ที่นั่นครับ ใช้เวลาเดินทางจากโตเกียว ราว สิบนาทีก้อถึงที่หมายครับ ออกจากสถานีมาที่ทางเชื่อมเข้าสู่ Tokyu Disney land จากนั้นก้อรวบรวมสมาชิกกันเป็นที่เรียบร้อย โดยมีรายนามดังนี้ เจ้กิ้บ น้องส้ม น้องวิทย์ (สองคนนี้เป็นเด็กไทยรุ่นที่สองครับ) มิเชล เรน่า เพื่อนชายของเรน่าลืมชื่อไปแล้ว ฮ่า (พวกนี้เป็นชาวฟิลิปปินส เด็กโตชิบาเหมือนกันครับ) รวมทั้งสิน 7 คนครับ ....เอ้า ต่อไปก้อลุยดิสนี่ยแลนดกานเลยย
เรื่มแรกที่เข้าไป ก้อจะเห็นปราสาทที่เป็นสัญลักษณ์ของดิสนีย์ เด่นมาแต่ไกลเลยครับ โดยที่นี่ก้อแบ่งเป็นแอเรีย เหมือนสวนสนุกทั่วๆไป โดยมีเป็น 6 แอเรียด้วยกัน World bazaa , Tomorrow land, Fantasy land, Clitter country, Western land and Adventure land โดยรายละเอียดก้อดังต่อไปนี้ฮับ
World Bazaa: เป็นแอเรียที่มีร้านต่างๆมากมายไว้ขายของที่ระลึกครับ
Tomorrow land: เป็นแอเรียที่รวมเครื่องเล่นถูกใจวัยจ้าบครับ โดยมี Movie 4D , Astro blaster (นั่งยาน ยิงเลเซอรใส่กาน มันสมากก) และ พวกเครื่องเล่นหวาดเสียวครับ สำหรับเครื่องเล่นหวาดเสียวมีไม่มากครับ ไอ้พวกรถไฟเหาะตีลังกาสูงๆนั้นไม่มีเลย อาจเป็นเพราะที่นี่สร้างมาเพื่อเด็กๆก้อเป็นได้ (โอย วัยรุ่นเซงเลย อิอิ) ที่พวกเราต่อคิวเล่นกันก้อ Space mt. ซึ่งต้องต่อคิวราวๆครึ่งชม (ทุกอย่างที่นี่ต้องต่อคิวหมดครับ นี่ขนาดมาเช้าละนะ) ซึ่งเจ้าสเปซเมาทเท่นนี้ มันจะเป็นรถไฟเหาะซึ่งอยู่ในโดมที่มืดมิด วิ่งด้วยความเรวสูงพาเราชมหมู่ดาว ดาวตก ยอมรับว่าทำได้สวยและเนียนมากๆครับ ทั้งเสียว ทั้งสวยตระการตา ครับผม
Fantasy land: ที่นี่เป็นศูนย์รวมตัวการตูนที่แสนน่ารักของดิสนีย์ครับ ไม่ว่าจากเรื่อง มิกกี้เมาส โดนัลด หมีพูห์ และอื่นๆ อีกมากมาย
Clitter country, Western land: ทีนี่นั้นจะได้รับการตกแต่งแบบตะวันออก พวกอินเดียแดง คาวบอย ทำนองนี้ครับ และมีพวกเครื่องเล่นล่องแก่ง ขึ้นไปวนบนเขาสูงๆแล้วดิ่งลงมา เรียกความเสียวได้พอสมควรครับ
Adventure land : สุดท้ายครับ ที่นี่นั้นจะเป็นแบบ ป่าแอฟริกาครับ โดยที่นี่จะมีเรือลำหย่ายๆพาเราล่องแม่น้ำ นั่งชมบรรดาสัตว์ต่างๆ(ของเทียม)ที่อยู่รายล้อมข้างทางครับ มีไกด์ด้วยน้า แต่เป็นภาษายี่ปุ่น ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่แค่ดูท่าทางเวลาเค้าเจอสัตว์น่ากลัวๆ ก้อฮาแล้วละครับ
อากาศวันนี้นั้น ขอบอกว่าหนาววว มากๆครับ แค่อากาศปกติก้อ ราวๆห้าองศาเข้าไปแล้ว บวกกับวันนั้นมีลมมากเป็นพิเศษระดับที่พัดคนปลิวได้เลย พัดมาตลอดเวลาเลยครับ ยังดีนะครับตรงที่ท้องฟ้าแจ่มใสเอามากๆทีเดียวมาชดเชย ..... เวลาทั้งหมดที่อยู่ที่ดินแดนดิสนีย์แห่งนี้ก้อ 9.00 am - 8.00 pm โอ้วววว อยู่ที่นี่ สิบเอ็ด ชม เชียวรึเนี่ย ขอบอกว่าตอนกลางคืนไฟที่นี่สวยมากๆครับ มีการแสดงของตัวละครต่างๆ ดอกไม้ไฟ และ พาเหรด (วันนี้งดพาเหรดแหละครับ เพราะลมแรง เซงไปเลย) หลังจากนั้นผมก้อกลับถึง YKC เวลา ห้าทุ้มครับ (จิงๆคงถึงเร็วกว่านี้ถ้าไม่หลับเลยไปสามสถานี เพราะเหนื่อยมั่กๆ 555+) ก้อขอจบทริปนี้ดิสนีย์แลนด์เพียงเท่านี้นะครับ จริงๆมีอะไรอีกมากมาย ให้พิมคงบรรยายไม่หมดจิงๆครับ สนุกและ ชอบมากๆๆ สำหรับทริปนี้ ไม่เเน่วัน นึงบางที ผมอาจจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง กับเจ้าตัวน้อย เเละ ภรรยา ก้อได้นา อิอิ
17/2/08 Fuji san & Gotemba departmentstore
วันนี้ไฮไลทของวีกนี้เลยครับ เรียกว่ารอมาตั้งแต่ต้นวีกเลยก็ได้ เพราะวันนี้ทาง YKC ได้จัดทริปไปเที่ยวภูเขาไฟฟูจิกันครับ โดยออกค่าใช้จ่ายให้กับทางศูนย์ฝึกอบรมเพียงแค่ 1000 เยน ต่อคน เท่านั้นเอง (ถูกแสนถูกครับ) เอาละมาเริ่มทริปกันเลยดีกว่า
Let's Gooo !!
7.30 am ทุกคนต่างพร้อมเพรียงกัน ที่หน้าล้อบบี้ครับ ทริปนี้จัดให้กับผู้เข้าอบรมทุกบ้านครับ รวมๆแล้วก้อประมาน 70 คนครับ รถบัสทั้งหมด สามคัน รอเราอยู่แล้วตรงหน้าศูนย์อบรม จากนั้นราว แปดโมงตรงก้อออกเดินทางสู่ภูเขาไฟฟูจิครับ ภูเขาไฟฟูจินั้นคนยี่ปุ่นเขาจะเรียกว่า ฟูจิซัง ครับ จากศูนย์ฝึกอบรมถึงฟูจิซังโดยรถบัสนั้น ใช้เวลา ราวๆ สาม ชมครับ กิจกรรมที่ฮอตฮิต ในรถนั้นก้อคงหนีไม่พ้นการถ่ายรูปครับ ส่วนผม แหะๆ เสียบวอลคแมน แล้วก้อหลับตั้งแต่วงล้อรถเริ่มหมุนแล้วละ -_-" จากการที่ตื่นมาเป็นช่วงๆนะครับ มองออกไปวิวข้างทางก็จะสามารถเห็นภูเขาไฟฟูจิ อย่างชัดเจนทีเดียว ยอมรับครับ สวยจริงๆเลยนะนี่
สถานที่ที่ทางศูนย์พามานั้น เป็นรีสอรตครับ ชื่อว่า Grinpa resort ตั้งอยู่เพียงแค่ทางขึ้นภูเขาไฟฟูจิเท่านั้น (อ้าวงี้ จะเรียกว่ามาภูเขาไฟฟูจิได้มั้ยเนี่ย แหะๆ) รีสอรตนี้เหมาะแก่การถ่ายรูปมากครับ เพราะไม่ว่าเราจะไปทำกิจกรรมอะไร ตรงไหน เราก้อจะได้ภูเขาไฟฟูจิเป็นฉากหลังตลอดเชียว ที่นี่มีกิจกรรมทางหิมะให้เล่นอย่างมากมายครับ สกี สเก็ตซน้ำแข็ง บอรดสไลด์ และ แอเรียเดียวกันนี้ก้อมี ชิงช้าสวรรคขนาดหย่าย ให้ดูวิวได้ทั่วๆอีกด้วยครับ จากโยโกฮาม่า เดินทางมาถึงที่ กรินป้ารีสอรตแห่งนี้ เวลา 11.00 am พอดีครับ พอก้าวลงมาจากรถ อื้มมมม สัมผัสได้ถึงความเยนยะเยือกเลยครับ ทุกพื้นที่ขาวโพลนไปด้วยหิมะครับ เวลาลมพัดมาเนี่ย แทบจะแปลงร่างเป็นไอติมได้เลยทีเดียวลา จากนั้นทุกคนก้อแยกย้ายเข้าไปใน กรินป้ารีสอรต เพื่อไปเล่นกิจกรรมที่ตัวเองอยากเล่นครับ (สกีวันนี้ปิดครับ ครับ ว้า น่าเสียดาย) ก้อเหลือ ผม พี่ไอซ พี่วี สามคนที่เดินอยู่ด้วยกันครับ อันดับเรกเลย มุ่งตรงไปที่ชิงช้าสวรรค์ยักษครับ เพื่อไปดูวิว และถ่ายรูปครับ จากนั้นก้อลงมาเดินเล่นถ่ายรูปเก็บบรรยากาศความเย็นยะเยือกไปเรื่อยๆครับ งานนี้รู้ซึ้งถึงความรู้สึกของปลาที่ถูกแช่ในช่องฟรีซเลย อิอิ ต่อจากนั้น เราก็พุ่งตรงไปเล่นกิจกรรมที่มีคนเล่นกันอย่างหนาแน่น นั่นคือ บอรดสไลดครับ (ขอเรียกว่ากระบะเหาะละกาน) เป็นกิจกรรมที่เราต้องนั่งบนกระบะ แล้วปล่อยตัวลงมาจากเนินหิมะครับ ก่อนอื่นต้องเช่าเจ้ากระบะเหาะนี่ก่อน ค่าเช่าก็ 600 เยนครับ เล่นได้แบบอันลิมิตครับผม (จริงๆแล้วหากสังเกตจะมีเจ้ากระบะเหาะนี่วางไว้อยู่เกลื่อนเหมือนกัน เพราะมันไม่มีที่เฉพาะให้คืนครับ ใครเล่นเบื่อแล้วก้อวางไว้แถวๆนั้นละ เดียวก็มีคนมาเก็บเอง แต่คนที่นี่เค้าก้อไม่โกงเก็บมาใช้นะครับ ทุกคนก้อเช่าอันใหม่หมด นี่ถ้าเป็นเมืองไทยอย่างหวังเลย คงมีการรีไซเคิลกันแน่นอน อย่างน้อยผมคนนึงละ จะโง่เสียตังคทามมาย แสดงว่านี่เปนสิ่งที่ยืนยันได้ว่าผมเป็นคนไทยครับ อิอิ แต่ยังไงก้อเสียตังคไปแล้วละ โอยน่าจะรู้ให้เรวกว่านี้ 555 ) ไอ้เจ้ากระบะเหาะนี่ คำเดียวเลยครับ มันสมากกกกกกกกกกกก เหาะลงมา วิ่งขึ้นไปใหม่ วนไปวนมาแบบไม่รู้เหนื่อยเลยครับ (มีจังหวะที่ล้ม เอามือเค้าครูดไถลไปกับหิมะ โอยเย็นมากกกก จนกระดิกนิ้วไม่ได้สักนิ้วเลยครับ ตกใจนึกว่ามือจะเป็นอะไรมากมั้ย แต่พออุ่นมันก้อกลับมากระดิกได้เหมือนเดิม เฮ้ออ เกือบมือกุดซะแล้นน) หลังจากนั้นเราก้อไปรอที่จุดนัดพบเวลา 13.00 น เพื่อไปหาไรหม่ำกันที่ Gotemba departmentstore ซึ่งเป็นห้างที่สร้างขึ้นในหุบเขาเลยครับ อยู่ไม่ไกลจาก กรินป้ารีสอรต มากนัก ลักษณะห้างก้อแบบ เจ เอเวนิว บ้านเราครับ แต่หย่ายกว่ามั่กๆ ที่นี่ก้อได้หม่ำอาหารกลางวันและเดินช้อปปิ้งกาน จนถึงบ่ายสามครับ แล้วก้อเดินทางกลับสู่ที่พักอย่างปลอดภัยราวๆ ห้าโมงเยนครับ

11/2/08 - 15/2/08
สำหรับสัปดาห์นี้ ถือเป็นการเริ่มต้นการเรียนอย่างเต็มรูปแบบครับผม ในสัปดาห์นี้ ชีวิตผมเองก็ดำเนินไปอย่างเรื่อยๆครับ เช้าตื่นมา 6.59 am (ตั้งไว้แบบนี้จิงๆครับ เอาเคล็ดเล็กน้อย อิอิ) จากนั้นก็ลงไปหม่ำอาหารเช้าที่ห้องอาหารอยู่ชั้นสอง ใช้เวลาไม่นานหรอกครับ ราวๆ 8.00 am ผมก็กลับมาที่ห้องเพื่อมาพักหายใจ เตรียมตัวไปเรียน เวลา 9.00 am ครับ โดยการเรียนนั้น จะเริ่มตั้งแต่เรียนภาษา 9.00 - 12.00 am แล้วพักเที่ยง แล้วก็ต่อด้วยช่วงบ่าย 1.00 - 4.30 pm (ช่วงบ่ายจะเป็นเรียนภาษากับทัศนศึกษาในย่านใกล้สูนย์อบรม สลับๆกันไปครับ) ชีวิตผมในสัปดาห์นี้ มันก็วนๆในลูปนี้ละครับ ตกเย็นก็มีการบ้านเป็นตั้งๆ แต่ผมก็พยายามเจียดเวลาออกไปเดินเล่นข้างนอกบ่อยๆครับ เพื่อไม่ให้ชีวิตมันหน้าเบื่อจนเกินไป ที่ที่ไปบ่อยๆนั้นก็ห้าง จัสโก้ ครับ เดินไปหนึ่งสถานีรถไฟก็ถึงครับผม
ต่อไปจะเขียนถึงความเป็นอยู่ กับการศึกษาของที่นี่กันดีกว่าครับ เริ่มจากสถานที่เรียน สถาบัน AOTS ที่ Yokohama นั้นมีชื่อเรียกสั้นๆว่า YKC โดยมีสถานีรถไฟฟ้า Sango shingo อยู่ตรงหน้าพอดีเลยครับ(สะดวกมากมาย) ตัวตึกของสถาบันที่นี้นั้นจะแบ่งออกเป็นสองฝั่ง เป็นฝั่งตะวันออกและ ตะวันตกครับ โดยทั้งสองฝั่งนั้นจะเป็นส่วนของห้องพัก ห้องเรียนและห้องอาหารจะอยู่ในอาคารตรงกลางระหว่างหอพักทั้งสองฝั่งครับ รอบๆนั้น มีสนามฟุตบอล สองสนาม และ คอรดเทนนิสอีกสองคอรดครับ YKC นั้นอยู่แทบจะติดทะเลเลยละครับ ระยะทางที่ห่างจากทะเลก้อราวๆ 2 km ครับ ดังนั้นที่นี่จึงค่อนข้างมีลมเยอะเป็นพิเศษครับ
มาพูดถึงการเรียนบ้าง ผู้ที่มาศึกษาภาษายี่ปุ่นในรอบนี้มีประมาน 60 - 70 คนครับ ไทย อินเดีย ตุรกี เวียดนาม จีน มาเลย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส ส่วนใหญ่ เป็นจีนกับ เวียดนามครับ ส่วนไทยเรานั้น มีกัน 5 คนครับ ทั้งหมดนั้นจะถูกแบ่งออกเป็น 3 บ้าน บ้านละราวๆ 20 คน ครับ โดยมีบ้าน กริฟฟินดอร สไลทีริน เอ้ย ม่ายช่าย ล้อเล่น (อะจิงๆ ก้อแบ่งเปนสามกลุ่มครับ โดยกลุ่มเดียวกัน ก็จะถูกจัดให้มีห้องพักชั้นเดียวกันครับ ผมจะเรียกเป็นบ้านละกาน เหมือน รร ฮอกวอรต ดีครับ อิอิ) โดยขั้นตอนแรกก้ออย่างที่รู้ไปแล้วคือ สอบวัดระดับ โดยจะคัดมาบ้านละ 2-3 คน มาเรียนในท้อปคลาสครับ (F class) คนที่เหลือก็เรียนในคลาสอื่นลดหลั่นกันไป การเรียนของคลาสผม จะเรียนอัดมากครับ โดยทาร์เกทอยู่ที่ ได้ภาษายี่ปุ่นชั้นกลาง และ คันจิ เจ็ดร้อยตัว หนังสือเรียนนั้นคล้ายกับที่ผมเรียนที่ธรรมศาสตร์ครับ ที่ไทยเรียนสองคลาสต่อบท ที่นี่ คลาสละบทเลยครับ โอวว ไม่เพียงแค่นั้น มีสอบบทที่เรียนไปในวันรุ่งขึ้นทุกเช้า แล้วต่อด้วย สอบไฟนอลสิ่งที่เรียนมาในวีกนั้นทุกวีก (ไม่ได้มาสบายเลยนะครับเนี่ย) เรียกได้ว่าตอนเย็นวันไหนทบทวนไม่พอ ก้อจะส่งผลถึงผลสอบวันรุ่งขึ้นทันทีครับ เหนื่อยมั้ยล่า ยางครับยังไม่หมด นอกจากเรียนในห้องเรียนแล้ว ทุกคนต้องกลับมาทำการบ้านที่อาจาร์ยให้ (เยอะมั่กๆ) แล้ว ยังต้องเรียนด้วยตัวเองทางเนตด้วยครับ โดยเราต้องไปทำแบบฝึกหัดในนั้น แล้วคะแนนมันจะขึ้นโชวที่เมลอาจารย์ประจำคลาสครับ (โอยย สถาบันที่นี่เค้าคิดว่าวันนึงมี 34 ชมรึงาย) นอกจากคลาสเรียนภาษา ก้อจะมีคลาสทัศนศึกษา โดยจะมีการพาไปในสถานที่สำคัญต่อการใช้ชีวิตครับ เช่น ไปรษณีย์ สถานีดับเพลิง ธนาคาร เป็นต้น โดยรวมๆก้อมีการเรียนการสอนตามนี้ละครับ อ้อ สุดทายก่อนจบการเรียนที่นี่ แล้วไปฝึกงานต่อนั้น ต้องมีการทำโปรเจ็คครับ (ประมานทำเทซิส) ด้วยภาษายี่ปุ่นเพียวๆ ซึ่งแบ่งกลุ่มบ้านละสามคนครับ (โชคยังดีที่งานกลุ่ม ไม่งั้นละเหนื่อยหนักเลยครับ)
กลับมาที่เรื่องราวในสัปดาห์นี้กันดีกว่า ขอนินทา ไอ้อาบี เพื่อนชาวอินเดียหน่อยเหอะครับ อินเดียเป็นชาติที่ใช้ภาษาอังกริดได้เก่งมากนะครับ ศัพททุกคำ เทนสทุกเทนส มันรู้หมด เสียอย่างเดียวตรงที่ ..ผมฟังมันไม่รู้เรื่องครับ 555+ เจ้าอาบีนี่ เป็นคนอินเดียคนเดียวเลยครับในรุ่นนี้ เวลามันคุยกะผม ผมต้อง เอ่อ Again please , I'm sorry?, Slowly man! etc เป็นแบบนี้ซะส่วนใหญ่ แต่มันก้อน่ารักครับ พยายามอธิบายซ้ำโดยไม่เบื่อ ด้วยความเร็วในการพูดที่ เท่าเดิม -_-" อีกอย่างนึงครับ ในบทสนทนาอย่าได้มีคำไหนที่มีตัว R เชียว พี่แกซัด ร เรือ ควบมาตลอด โอ้ววว เหมาะเก่การให้มาสอนภาษาไทยอย่างยิ่ง มาถึงตอนนี้สนิทกับมันมาได้จะ สองวีกแล้ว ผมก้อยังฟังมันไม่ค่อยรู้เรื่องเหมือนเดิมครับ 555 อ้อ อีกอย่าง เดียวนี้มันมีการพัฒนาเอาภาษายี่ปุ่นที่ร่ำเรียนมาปนด้วย ฮ่าๆ(ตาย กรูตายย) หนักเลยคับทีนี้ พี่หลายคนก้อต่างถามว่า "น้องทันเก่งเนอะคุยกะมันได้เป็นเรื่องเป็นราวเชียว" เคล็ดลับมานไม่ยากหรอกน้า ถ้ามันเรื่มพูดอัดเทอรโบเมื่อไรปล่อยให้มานพูดไป ให้ตัวเราพยักหน้าเล็กน้อย ค่อยๆพูดเป็นจังหวะ ตอบรับกับการพูดของมาน ว่า "Hmm I see " "Yeah I see" เท่านั้นเอง เหอๆ

10/2/08 Akihabara Tokyu tower and Zujoji temple
สำหรับวันนี้ ยกให้หน้านึงเต็มๆเลยละกันครับ วันนี้เป็นวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันที่จะได้ว่างเต็มๆวันครับ ก้อตามแปลนครับ จะไปย่าน Akihabara ซึ่งอยู่ใน โตเกียว โดยแปลนไว้ตั้งแต่เมื่อวาน โดยจะมี พี่ไอซ พี่วี (คนไทย) และ อาบี (อินเดีย)ไปด้วยกัน ออกเดินทางกัน เก้าโมงเช้า ทุกคนก็ต่างพร้อมเพรียงกันหน้ารีซิฟชั่น โดยอาบี ได้ชวนเพื่อนกลุ่มเวียดนามมาจอยอีกกลุ่มใหญ่ (จะลากมาทามมายย เที่ยวกลุ่มหย่ายๆ มันไม่มันสหรอกนะ เอ้าไม่เปนไร ชวนมาแล้วนี่เนอะ) ก้อ ออกเดินทางนั่งรถไฟจากสถานีย่อยหน้าหอพัก แล้วไปลงที่ สถานี Shin sugita เพื่อเปลี่ยนรถไฟยิงยาวตรงไปผ่านตัวเมืองโตเกียว แล้วก็ถึง Akihabara ทั้งหมดนี้ใช้เวลาทั้งสิ้นราว 1 ชม ครับ แล้วก้อถึงซะที ที่ Akihabara นี้มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า Electric town ครับ นั่นเป็นเพราะว่า ทั้งย่านมีแต่ร้านขายพวกอุปกรณ์ไฟฟ้า เยอะแยะเต็มไปหมดเลยครับ กล้องถ่ายรูป เครื่องเล่นMP3 ทีวี โทรศัพท และอีกมากมายย สำหรับตัวผมเองไม่ได้มีจุดประสงค์จะมาซื้ออะไรที่นี่เลยครับ เพื่อนๆที่มาต่างมีกันหมด จะซื้อ ไอพอดบ้างละ กล้องบ้างละ แต่ผมแค่อยากมาให้รู้เท่านั้นลาว่า ที่นี่มานหน้าตาเป็นยังไง (แต่เค้าบอกกันว่า คนที่ไม่ได้คิดจะซื้ออะไรนี่ละ มักจะได้อะไรกลับมากกว่าชาวบ้านเขา อ้ะ จิงอะป่าวก้อต้องตามดูกัน)
Akihabara นั้นที่นี่มีขายทั้งเครื่องไฟฟ้ามือหนึ่งและมือสองครับ แต่สำหรับมือสองต้องรู้สถานที่ครับว่าอยู่ตรงไหน เพราะ ไม่ได้มีให้เห็นเยอะแยะ เหมือนร้านขายของมือหนึ่ง (โชคดีเตรียมพร้อม เปิดเนตถ่ายแผนที่จากหน้าจอโน้ตบุ้กมาเรียบร้อย เลยพอจะรู้ตำแหน่งครับ) พอมาถึงที่นี่กลุ่มใหญ่ๆที่มาด้วยกันก็เริ่มแตกออกโดยไม่ตั้งใจ คงเป็นเพราะจุดประสงค และความชอบที่จะดูของมันต่างกัน (ดีแล้วลา ห่วงหน้าพะวงหลัง เที่ยวไม่หนุกหรอก) ตอนนี้ผมเองก็มีพี่ไอส ติดสอยห้อยตามมาด้วยอีกหนึ่งครับ (ดูท่าทางพี่แกมั่นใจ เราพอสมควรนะเนี่ย "อยู่กะน้องทัน พี่ว่าดีที่สุดยังไงก้อรอด" เอ่อ จิงเหรอครับพี่ -_-") จากนั้นเราทั้งสองก้อพุ่งตรงไปหาดูพวกร้านขายของมือสองกันเลยครับ เพราะของมือหนึ่งนั้นมันราคาเท่าๆกันหมดทั้งประเทศละ ไว้ไปดูที่อื่นก็ได้ ละก้อถึงที่หมาย มีร้านใหญ่ๆที่ขายของมือสองอยู่ 3 ร้านครับติดๆกันด้วย ดีแล้วละจะได้ไม่ต้องเดินไกล ในร้านนั้นก็มีของมากมายครับ ไม่ว่าจะเป็นกล้อง เอมพีสาม โน้ตบุ้ก นาลิกา ล้วนแล้วแต่เป็นของมือสอง ซึ่งราคานั้นต้องขอบอกว่า ถูกและถูกมากๆจิงๆ ยกตัวอย่างนะครับ กล้อง Casio V7 ที่ผมมีครอบครองอยู่ตอนนี้ มือหนึ่งเมืองไทยตอนนี้ 12,500 baht ( ผมซื้อตอนออกใหม่ 14,500 baht ครับ) แต่ที่นี่ขายเพียง 15,000 yen ตกเป็นเงินไทยก็ 5,000 baht เท่านั้น!! โอ้วว ตรูจาเป็นลม สภาพดีมากครับ เอามาลองถ่าย ทุกอย่างก้อทำได้ดี อืมม ถ้าคนที่ไม่แคร์ว่าจะต้องใช้ของมือหนึ่งเท่านั้นละก็ Akihabara คือสวรรค์จริงๆครับ
ช่วงบ่าย ยังคงอยู่ที่ Electric town แห่งนี้ครับ หลังจากที่อิ่มอร่อยกับราเมงมาแล้ว เราทั้งสองก้อกลับไปที่ร้านมือสองอีกครั้ง เพราะพี่ไอส ตัดสินใจจะสอย i pod ครับ สำหรับเจ้าไอพอดนี้ผมเองไม่ค่อยรู้ราคาเท่าไรครับ (ม่ายค่อยชอบอะ รู้แหละว่าคุณภาพเยี่ยม แต่มานโหลอะครับ) แต่พี่ไอสเค้าทำหน้ายังกะได้ของฟรี ก้อคงเดาได้ละครับว่าถูกมากกก ก่อนออกจากร้านผมก็เหลือบไปเห็น สิ่งที่น่าดึงดูดใจ ประมานว่าจะเดินออกไปแล้วแต่ต้องเดินถอยหลังกลับมาดูเลยละ(เมื่อเช้ามองผ่านไปได้ไง) นั่นก็คือ เครื่องเล่น MP3 ของโซนี่ครับ ซึ่งผมจำได้ว่าปะป๋าเล็งๆเครื่องนี้ไว้อยู่ ตัวนี้ 4GB ราคาเมืองไทยตกอยู่ที่ 4,700 baht แต่มือสองที่นี่ คิดเป็นเงินไทยนั้นราวๆ 2 พันกว่าบาทเท่านั้น สภาพเครื่องดูดีมากๆครับ หลังจากสอบถามจากคนขาย เค้าบอกว่าตัวนี้คนขายต่อเพิ่งใช้ไปแค่สองเดือนเอง โอ้วววว ต้องซื้อเท่านั้นครับ เอาแค่ตัวเครื่องแล้วซื้อหูฟังใหม่ ก้อยังถูกกว่าเมืองไทยอีกโข ปล่อยไปไม่ได้แล้วละสอบถามกันเต็มที่เลยครับ จะควักเงินจ่ายแล้วด้วย แต่เจ้าคนขายก้อเอ่ยประโยคสะเทือนใจซึ่งจับใจความได้ว่า "Sembu sony no operation sistemmuwa nihongo dake desune" แปลว่า ระบบสั่งงานของเครื่องโซนี่ทั้งหมดเป็นภาษายี่ปุ่นเท่านั้น จบเลยครับ ซื้อฝากปะป๋าเค้าก้อคงใช้ไม่เป็นแหงๆ ถ้าซื้อใช้เองก็พอไหว แต่ผมเองก็มีเครืองเล่น MP3 อยู่แล้ว ก้อเลยต้องเดินจากมาด้วยความเสียดายอย่างสุดซึ้งครับ เห้ออ เหนม้า สุดท้ายผมเองก้อไม่ได้ซื้ออะไรเลย อันนี้ต้องเรียกว่า มีเงิน แต่ไม่มีวาสนาครับ ฮ่าๆ
พอเดินจนทั่วแล้วก้อเวลาประมาณ บ่ายโมงกว่าๆเท่านั้น ผมจึงมีความคิดที่จะไปโตเกียวครับ ไปทำไม แล้วออกจากสถานีรถไฟมาจะเจออะไร อันนี้ไม่รู้ครับ แต่ที่รู้คือ เวลาเหลือ และตรูจะไปคับ!! และก้อคงไม่ต้องถามถึงพี่ไอซ แกจอยอิน ด้วยแน่นอน ฝากชีวิตไว้ที่ตรูแล้วนี่ ฮ่าๆๆ จาก Akihabara มา Tokyu นั้น ก้อขึ้นรถไฟย้อนลงมาเพียงแค่สถานีเดียวเท่านั้น แล้วเราทั้งคู่ก้อโผล่ออกมาที่สถานีโตเกียวครับ (ใหญ่เปนบ้า เส้นทางรถไฟงี้พันกันให้มั่วเลย) ออกมาละครับ แต่ปัญหาคือ จะไปไหน -_-" ง่า........ โตเกียว.... โตเกียว... โตเกียว... ปิ้งง โตเกียวทาวเวอรไง ถามยามหน้าสถานีเลยครับ ไกลจากที่นี่เท่าไร หากนั่งเท้กซี่ต้องจ่ายเท่าไร ยามเองก้อไม่ค่อยมั่นใจ ให้เราไปถามแทกซี่อีกที อืมได้ๆ ก้อโบกเลยครับ แทกซี่เค้าก้อบอกว่าประมาน 1,700 Yen "อื้อ ไม่แพง อยู่ละแวกนี้ละ พี่ไอซ ขึ้นเลยๆ" Let's go to Tokyu tower !!
มาถึงแล้ว ใหญ่อลังการมากกกครับ และคนที่ต่อคิวขึ้นลิฟทไปดูวิวข้างบนก้อเยอะมากกกกกกกก ทำเอาเราต้องถ่ายรูปอยู่ข้างๆและเข้าไปในตัวตึกที่สร้างไว้เพื่อเป็นที่ขายของที่ระลึกซึ่งอยู่ที่ฐานเท่านั้น (น่าเสียดาย โอกาสหน้าจะมาให้เช้าตรู่เลยเชียว)
แต่แค่นี้ก้อถือว่าได้มาแล้วละ เจ๋งๆๆ จากนั้นเราก้อเดินรอบๆ ถ่ายรูปกะโตเกียวทาวเวอรไปเรื่อยเปื่อย และต่อจากนั้นเราก้อมุ่งหน้าเดินไปวัด Zojoji ซึ่งเป็นวัดใหญ่ ตั้งอยู่ติดกับโตเกียวทาวเวอรครับ แน่นอนเดินถ่ายรูปกันไปตลอดทางครับ และก้อไม่พลาดที่จะทำบุญและสักการะพระพุทธรูปที่นี่ด้วยครับ
สุดท้ายแล้ว หลังจากที่เราเดินอยู่แถวละแวกโตเกียวทาวเวอร จนถึงราวๆ บ่ายห้าโมงเยน เราก็ขึ้นรถไปที่สถานีแถวนั้นกลับ AOTS Yokohama ครับ พี่ไอซบอกว่า "คิดถูกแล้วที่มากะน้องทัน ได้เที่ยวอะไรแบบนี้ดีกว่าไปแต่ห้าง ช้อบปิ้งเยอะแยะ" คราวนี้โชคดีที่มันไม่หลงหรอกเพ่ อย่าเพิ่งวางใจ ทริปหน้ามาเสี่ยงกับผมใหม่ได้ครับ